การ์ดเสียง (Sound Card)
คาวมหมายและความสำคัญ
การ์ดเสียง หรือ ซาวน์การ์ด (อังกฤษ: sound card) คืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูล
ดิจิทัลที่เก็บรายละเอียดเกี่ยวกับเสียงต่าง ๆ แปลงเป็นสัญญาณเสียงในรูปแบบสัญญาณทางไฟฟ้า[1]
เสียงเป็นส่วนสำคัญของระบบมัลติมีเดียไม่น้อยกว่าภาพ ดังนั้นการ์ดเสียงจึงเป็นอุปกรณ์ จำเป็นที่
สำคัญของระบบ คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย การ์ดเสียงได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างรวดเร็วเพื่อ ให้ได้
ประสิทธิภาพของเสียงและความผิดเพี้ยน น้อยที่สุด ตลอดจนระบบเสียง 3 มิติในปัจจุบัน ความชัดเจน
ของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่มตัวอย่าง และ
ความแม่นยำ ของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนด[2] โดยความสามารถของ
A/D Converter ว่ามีความ ละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณ ค่าสัญญาณดิจิตอลได้
ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูก กำหนด โดยจำนวนบิต
ของสัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น - A/D Converter 8 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ -
A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้
ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียง ที่
ได้รับดีขึ้นนั่นเอง แต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย Sound Card คืออะไร
Sound Card (การ์ดเสียง) คือ อุปกรณ์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถแสดงผลออกมาในรูปแบบเสียงได้
โดยจะทำหน้าที่ควบเรื่องเสียง อย่างเช่น ถ้าวงจรเสียงใช้กับเกมส์ที่เราเล่นจะเกิด เสียงต่าง ๆ หรือสร้าง
เสียงเอฟเฟคต่าง ๆ เข้าเป็น วงจรเสียงที่ใช้กับดนตรีชนิดต่าง ๆ สำหรับสร้างสรรค์งานเพลงที่เราต้องการ
ให้มีคุณภาพของเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคุณภาพเสียงจะขึ้นอยู่กับรุ่นและยี่ห้อของ Sound Card
ความชัดเจนของเสียงจะมีประสิทธิภาพดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการ คือ อัตราการสุ่ม
ตัวอย่างและความแม่นยำของตัวอย่างที่ได้ ซึ่งความแม่นยำของตัวอย่างนั้นถูกกำหนดโดยความสามารถ
ของ A/D Converter ว่ามีความละเอียดมากน้อยเพียงใด ทำอย่างไรจึงจะประมาณค่าสัญญาณดิจิตอลได้
ใกล้เคียงกับสัญญาณเสียงมากที่สุด ความละเอียดของ A/D Converter นั้นถูกกำหนดโดยจำนวนบิตของ
สัญญาณดิจิตอลเอาต์พุต เช่น
- A/D Converter 8 Bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 256 ระดับ
- A/D Converter 16 bit จะสามารถแสดงค่าที่ต่างกันได้ 65,536 ระดับ
หากจำนวนระดับมากขึ้นจะทำให้ความละเอียดยิ่งสูงขึ้นและการผิดเพี้ยนของสัญญาณเสียงยิ่งน้อยลง
นั่นคือ ประสิทธิภาพที่ของเสียงที่ได้รับดีขึ้นนั่นเองแต่จำนวนบิตต่อหนึ่งตัวอย่างจะมากขึ้นด้วย
Sound Card มีความจำเป็นแค่ไหน
ปัจจุบัน Mainboard ของเครื่อง PC Computer แทบทุกตัว ล้วนติดตั้งวงจรแสดงผลการประมวลและส่ง
ออกของเสียง มาในตัวเองทั้งสิ้น หรือที่เรียกกันว่า Sound on Board ดังนั้น ความจำเป็นในการซื้อ
Sound
Card มาใช้งานจึงลดความจำเป็นลง หรือบางคนอาจคิดว่าไม่จำเป็นอีกต่อไป ก็ในเมื่อมีภาครับ-ส่ง
สัญญาณเสียงอยู่แล้ว แล้วยังจะต้องซื้อ Sound Card มาใช้งานให้ทับซ้อน สิ้นเปลืองสตางค์อีกทำไม
เมื่อมันก็ทำงานเหมือนๆ กัน
มาถึงจุดนี้ คงต้องถามตัวเองแล้วละ ว่า เราใส่ใจกับเสียงที่อยากได้ยินนั้นแค่ไหน ?
- ถ้าคุณรู้สึกว่า เสียงที่ได้จาก เพลง หนัง ละคร ไม่ว่าจะฟังจาก คอม วิทยุ เครื่องเล่น CD โทรทัศน์ ทุก
อย่างมันก็เหมือนๆ กัน ฟังรู้เรื่องว่าเป็นเสียงอะไร ต่างกันแค่เสียงดัง หรือเสียงเบาเท่านั้น - หากเป็นเช่น
นั้น สรุปได้ว่า Sound Card นั้น ไม่มีความจำเป็นกับคุณเลย
- แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงว่า เสียงที่ได้ยินจากแต่ละเครื่องเล่น แต่ละอุปกรณ์ คอมแต่ละเครื่อง มีความแตกต่าง
กัน อันนั้นเบสหนักสะใจ อันโน้นเสียงโปร่งๆ ปิ้งๆ ฟังสบาย อันนี้เสียงหวาน นิ่มนวล ฯ - แบบนี้ Sound
Card อาจมีส่วนช่วยคุณได้ เพื่อให้ได้เสียงที่ออกจากระบบคอมพิวเตอร์เป็นไปในแบบทีชอบหรือ
ต้องการมากขึ้น
ส่วนประกอบของ การ์ดเสียง (sound Card)
แสดงส่วนประกอบของการ์ดเสียง (Sound Card)1. ชิปเสียง ทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นจากดิจิตอลเป็นคลื่น
เสียงที่คนสามารถได้ยิน เสียงจะมีคุณภาพเพียงใดจะขึ้นอยู่กับคุณภาพของชิปเสียง 2. อินเตอร์เฟส
(Interface) คือ แถบที่ใช้เสียบเข้ากับสล็อตที่อยู่บนเมนบอร์ด การ์ดเสียงจะทำงานบนสล็อต PCI
(Peripheral Component Interconnect) มีความเร็วในการรับ ส่งข้อมูลสูงกว่าแบบ ISA (Industrial
Standard Architecture) ซึ่งอาจเปลี่ยนไปใช้สล็อต PCI Express x16 เพราะมีประสิทธิภาพในการรับส่ง
ข้อมูลสูงกว่า PCI 3.หัวต่อกับอุปกรณ์ภายในเครื่อง การ์ดเสียงมีหัวต่อที่ใช้นำเข้าสัญญาณเสียงจาก
อุปกรณ์ที่อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็ก จำนวน 4 ขา ซึ่งแต่ละประเภทของหัวต่อจะติดตั้งบน
การ์ดเสียงมีดังนี้ - หัวต่อ CD In หรือ CD Analog ใช้สำหรับต่อสัญญาณเสียงจากซีดีรอมมายังการ์ด
เสียง แต่สัญญาณนี้จะเป็นคลื่นแบบอะนาล็อกที่การ์ดเสียงสามารถนำไปใช้ได้ทันที โดยลักษณะของ
หัวต่อจะมี 4 ขา - หัวต่อ AUX (Auxiliary) ใช้ต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น การ์ดทีวี (TV Tuner Card) เพื่อนำ
สัญญาณเสียงที่ได้จากอุปกรณ์เหล่านั้นมาประมวลผลรวมเข้ากับเสียงหลัก แล้วส่งตรงออกสู่ลำโพงผ่าน
ทางการ์ดเสียง - หัวต่อ TAD (Telephone Answer Device) ใล้สำหรับการนำสัญญาณเสียงจากระบบ
ตอบรับโทรศัพท์ของโมเด็มแบบติดตั้งภายในเข้ามายังการ์ดเสียง - หัวต่อ PC Speaker หัวต่อนี้จะใช้ต่อ
เข้ากับหัวต่อลำโพงที่อยู่บนเมนบอร์ด โดยปกติในเคสของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีลำโพงขนาดเล็กติด
ตั้งอยู่เพื่อใช้ส่งเสียง "ปี๊บ" เวลาที่เครื่องทำงานผิดพลาด สามารถต่อสายในส่วนนี้จากเมนบอร์ดเข้าสู่
การ์ดเสียงด้วยช่อง PC Speaker เพื่อให้เสียง "ปี๊บ" ออกไปยังลำโพงตัวใหญ่ข้างนอกได้4.หัวต่อกับ
อุปกรณ์ภายนอก มีไว้สำหรับต่อออกลำโพงหรือใช้ต่อกับไมโครโฟนเพื่อนำสัญญาณเสียงเข้ามาบันทึก
เก็บไว้เป็นไฟล์ ลักษณะของหัวต่อกับอุปกรณ์ภายนอกมักจะเป็นหัวต่อแบบเดียวกับที่นิยมใช้ต่อกับ
เครื่องเสียงทั่วไป ดังนั้น การเสียบสายสัญญาณเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ จึงทำได้ง่าย ประเภทของหัวต่อกับ
อุปกรณ์ภายนอกก็เช่น - หัวต่อ Line Out หรือ Speaker เป็นหัวต่อสีเขียวอ่อนใช้สำหรับต่อกับลำโพง
หรืออาจจะนำสัญญาณเสียงจากการ์ดเสียงไปเข้าเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ก็ได้ ในขณะที่การ์ดเสียง
รุ่นที่สามารถต่อกับลำโพงได้มากกว่า 2 ตัวอาจจะใช้ชื่อหัวต่อนี้ว่า "Front" หรือ "Front Speaker" เพราะ
จะใช้สำหรับต่อกับลำโพงคู่หน้า - หัวต่อ Line In เป็นหัวต่อสีฟ้าอ่อนใช้สำหรับต่อกับอุปกรณ์ภายนอกที่
ต้องการจะนำสัญญาณเสียงเข้ามาบันทึกหรือใช้งานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ - หัวต่อ MIC In หรือ
Microphone เป็นหัวต่อสีชมพูอ่อนใช้สำหรับต่อกับไมโครโฟนเพื่อนำเสียงพูดหรือเสียงอื่นๆ บันทึกเก็บ
ไว้เป็นไฟล์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็นเสียงพูดที่ใช้ประกอบไฟล์เอกสารก็ได้ - หัวต่อ
Rear Speaker จะมีในการ์ดเสียงรุ่นที่สามารถต่อกับลำโพงแบบ 4 ตัวขึ้นไปเท่านั้น หัวต่อนี้มีสีดำใช้
สำหรับต่อกับลำโพงคู่หลังที่เป็นลำโพงเซอร์ราวน์ - หัวต่อ Joystick มีลักษณะเป็นแบบ D-Sub สี
เหลือง มีจำนวนขา 15 ขา ใช้สำหรับต่อกับจอยสติกเพื่อใช้ควบคุมการเล่นเกม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น